Lifetime Recipe

Lifetime Recipe

ก่อนจะอ่าน...

นี่เป็นบล็อคส่วนตัว สิ่งที่อยากโพสคือสิ่งที่อยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ เพราะตัวเองเป็นคนลืมง่าย แม้แต่ช่วงเวลาความสุข ความประทับใจ ผิดกับความเศร้าเสียใจ ที่จำได้ง่ายเหลือเกิน แต่จะพยายามโพสแต่สิ่งที่น่าจดจำที่สุดก็แล้วกัน ...ยินดีต้อนรับสู่โลกของJulie Mค่ะ^^

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

[หนัง][แนะนำ] The Perks of Being a Wallflower


The Perks of Being a Wallflower

หมายเหตุ: สปอยล์หนัก ถ้าใครยังไม่เคยดูแนะนำว่าอย่าเพิ่งอ่าน ไปดูหนังก่อน 55

นำแสดงโดย โลแกน เลอร์แมน  เอ็มม่า วัตสัน  เอซร่า มิลเลอร์


กลับมาแนะนำหนังหลังจากหายไปเรียนหนังสือ พอดีไปเจอเรื่องนี้เพราะเอ็มม่าเล่น เลยอยากรู้ว่าเกี่ยวกับอะไร และเท่าที่ดูโปสเตอร์ข้างบนครั้งแรก นึกว่าหนังวัยรุ่นอเมริกันทั่วไปล่ะมั้ง สะดุดไปเห็นชื่อหนังข้างบนตัวนักแสดง เอ่ จะแปลเป็นไทยยังไงนะ  perk ? มันแปลว่าผลตอบแทนอะไรสักอย่างที่คุ้มค่าแก่การได้มา แล้ว wallflower กำแพงดอกไม้ อันนี้ค้นในเออร์บันดิกฯเลย จับใจความได้ว่า wallflower คือคนที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้สังเกตและไม่ค่อยมีใครคบหรือเข้าหา แต่พอได้รู้จักก็จะรู้ว่าคนๆ นี้เป็นคนอัศจรรย์มาก พอเอาชื่อเรื่องมาแปลแบบรวมๆ ก็คือ 'ผลตอบแทนของการเป็นคนอัศจรรย์ที่ไม่มีใครสนใจ' แต่ดูชื่อไทยของเรื่องแล้ว บอกเลยว่า มันดูกุ๊กกิ๊กมาก และไม่เข้ากับเรื่องเท่าไรนะคะ - -;


หลังจากดูจบเลยเสิร์ชหาทันที หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือของ Stephen Chbosky และก็เป็นคนกำกับเรื่องนี้ด้วย ถึงว่าทำไมการดำเนินเรื่องและการแสดงอารมณ์ของตัวละครมันชัดเจน และมีความเป็นดั้งเดิมตามหนังสือสูงมาก ถึงตัวหนังจะตัดออกไปเยอะก็ตาม ก็เพราะคนเขียนมากำกับเอง ซึ่งเป็นหนังที่หายากมากๆ โดยเฉพาะหนังที่ทำจากนิยาย ส่วนตัวเลยอยากจะซื้อมาอ่านอีกสักเล่มหนึ่ง พูดถึงตัวละคร ผกก. เลือกคนเล่นถูกบทมาก จากที่เราไม่เคยดูหนังของโลแกน ซึ่งรู้ว่าดังจาก Percy Jackson แต่มันไม่ใช่แนวสำหรับเรา แต่กลับประทับใจกับบทนี้เอามากๆ บทแซมและแพริกเช่นกัน เด็กชายKevin จาก We Need to Talk about Kevin และเอ็มม่า วัตสัน จากแฮรี่ฯ มันน่าสนเล็กๆ ตรงที่เราอยากเห็นเอ็มม่าพูดอังกฤษแบบอเมริกัน และเธอก็ทำได้ค่ะ ฮ่าๆ ถึงจะแปร่งๆ หน่อยก็โอเค น่ารัก^^ ถ้าเราให้คะแนน ก็จะให้ 9.5/10 ค่ะ อีก .5 ที่หายก็คือเรื่องราวในหนังสือถูกตัดออกไปเยอะตามประสาคนทำหนัง ซึ่งส่วนที่ตัดก็มีความสำคัญไม่แพ้กันนะ



เรื่องราวหลักๆ ของเรื่อง ก็คือ ชาร์ลี เด็กหนุ่มที่กำลังจะขึ้นม.ปลาย มันเป็นความท้าทายของเขาที่จะก้าวขึ้นไปโตอีกระดับหนึ่ง แต่เขากลับพบว่า ชีวิตม.ปลายมันช่างแตกต่างจากม.ต้น ที่มีเพื่อนเก่าๆ จะมาคอยคุย และเคยมีเพื่อนๆ มากกว่านี้ แต่พอชาร์ลี เข้ามาในโรงเรียนม.ปลายก็เจอกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตต่างๆ นาๆ ทุกคนมีโลกส่วนตัวสูงขึ้น เพื่อนที่เคยรู้จักตีตัวออกห่าง แม้กระทั่งพี่สาวของชาร์ลีชื่อ แคนดิซ ห้ามไม่ให้น้องของตนมานั่งทางด้วยเพราะเธอจะนั่งทานกับแฟนหนุ่ม ชาร์ลีเลยต้องนั่งทานอาหารกลางวันคนเดียว โดนเพื่อนแย่งเอาการบ้านด้วยการข่มขู่ และนั่นทำให้เขาไม่มีเพื่อนในวันแรกที่เข้าเรียน 


ระหว่างที่เขาอยู่บ้าน ชาร์ลีมักจะเขียนไดแอรี่ ซึ่งเรา คนดูอาจจะมองได้ว่า เด็กคนนี้มีโลกส่วนตัวสูงจริงๆ ถึงขั้นต้องบันทึกชีวิตตัวเองและความรู้สึกตัวเองทุกๆวัน ความลับที่เขาปิดบังไว้กลายเป็นกำแพงในใจ มันกำลังบังความจริงบางอย่างภายใต้จิตใจของเขาอยู่   อย่างไรก็ตาม เวลาที่ชาร์ลีอยู่กับพ่อแม่ แม้ว่ามีความในใจที่ปิดบังอยู่ และ เรื่องที่เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งมากแค่ไหน  มีความสุขหรือไม่ เขาจะไม่อยากให้พ่อแม่และพี่สาวรับรู้




จนวันหนึ่ง เขาได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่สอบตกวิชางานช่าง ชื่อว่า แพทริก เขาเป็นตัวสีสันของชั้นเรียน ทั้งล้อเล่นคุณครู และเป็นตัวตลอกประจำโรงเรียนที่ใครๆ ก็รู้จักกันในฉายาว่า 'ไม่มีอะไร' ชาร์ลีเห็นรุ่นพี่คนนี้ดูร่าเริงสดใส ก็เลยอยากเป็นเพื่อนโดยที่เขาต้องพยายามเข้าหา และนั่นทำให้เขารู้จักกับ แซม รุ่นพี่สาวสวยร่าเริงที่ทำให้ชาร์ลีแอบชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากคบเป็นเพื่อนด้วย และวันนั้นหลัง



จากดูแข่งขันอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนจบลง พวกเขาทั้งสามคนก็ได้รู้จักกัน เริ่มแรกที่ชาร์ลีเป็นเพื่อนกับแซมและแพทริก สองคนนั้นยังไม่แคร์ชาร์ลีมากเท่าไร มิหนำซ้ำ ยังเปิดเพลงไล่ชาร์ลีอีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชาร์ลีโกรธหรอก ในทางกลับกัน ชาร์ลีคิดว่า แพทริกกับแซมเข้าคู่กันดี ทำให้ชาร์ลีเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน แต่ที่ไหนได้ พวกเขาเป็นพี่น้องพ่อแม่เพิ่งแต่งงานใหม่ด้วยกัน และแพทริกเองก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงเสียด้วย ทำให้ชาร์ลียิ่งรู้สึกแอบชอบแซมเข้าไปอีก แต่เขากลับมารู้ทีหลังว่า แซมมีแฟนรุ่นพี่มหา'ลัยแล้ว 


หลังจากที่เขาไม่ได้เจอแซมกับแพทริกบ่อยๆ จนกระทั่งงานเลี้ยงต้อนรับเด็กใหม่ ชาร์ลีพยายามอีกครั้งที่จะเข้าวงเต้นกับพวกเพื่อนทั้งสองนี้ เขาทำสำเร็จ และหลังจากนั้นรุ่นพี่ทั้งสองก็พาเขาไปปาร์ตี้ ซึ่งก็มีการเล่นกัญชา(รึเปล่า) แต่ไม่ร้ายแรงมากนัก ถือเป็นการรับน้องภายในตัว ทุกคนในปาร์ตี้ต่างตะลึงชาร์ลีว่าเป็นคนตลกมากๆ (หลักจากกินคุกกี้หลอกไป) ใครๆ ก็ชอบเขา จน แซม ต้องทำนมปั่นให้ดื่มเพราะสติชาร์ลีย์ไม่อยู่กับตัวจริงๆ และนั่นทำให้เขาพูดความในใจต่อหน้าแซมได้เต็มที่ เมื่อแซมถามเขาว่า เพื่อนของชาร์ลีย์ไปไหน เขาตอบว่า เพื่อนของเขาเพิ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อฤดูร้อนครั้งที่แล้ว นี่จึงทำให้แซมรู้สึกเศร้า สงสาร และอยากเป็นเพื่อนชาร์ลีมากขึ้น และเมื่อแพทริกรู้ด้วย พวกเขาทั้งสามเลยกลายเป็นเพื่อนกันและชาวแก็งส์อย่างแท้จริง

เรื่องราวต่อจากนี้ ก็เกิดความสับสน ระหว่างเพื่อนทั้งสามและ ที่สำคัญ ภายในจิตใจของชาร์ลีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป



คงสปอย์ได้แค่นี้นะคะ เพราะถ้ามากไปอาจจะน่าเบื่อ สำหรับเราแล้ว เราดูเรื่องนี้ 7รอบติดต่อกัน ไม่รู้ทำไม ก็เพราะชีวิตวัยรุ่นของใครหลายคนอาจจะเคยเป็นแบบชาร์ลีมาแล้วน่ะสิ แต่สิ่งที่ประทับใจและทำให้เราย้อนดูกลับไปกัลบมาคือ คำพูดประโยคนึงของชาร์ลี 

"งั้นผมว่าเราเป็นอย่างที่เราเป็นด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง
และเราอาจจะไม่รู้เหตุผลเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้"

กับ

"ผมทั้งมีความสุขและความเศร้าพร้อมกัน
ผมยังคงตามหาคำตอบว่ามันเป็นไปได้ยังไง"


ชาร์ลีเป็นเด็กที่เก็บความรู้สึก และมีโลกส่วนตัวมากจนเขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกลึกๆ ต่อหน้าคนอื่นได้ เพราะเขามีความลับบางอย่างตามหลอกหลอนเขา เขาคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้น้าของเขาตายและมันไม่เคยจางหายไป เวลาที่เขาอยู่คนเดียวจิตใจเขาจะสับสนและหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ตนไม่เคยบอกใคร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องบันทึกความรู้สึกลงไดแอรี่ 

แต่เมื่อเขาได้รู้จักกับแซมและแพทริก ทำให้เขารู้ว่า เขาควรที่จะเปิดความรู้สึกออกมาให้มากกว่านี้ เพราะยิ่งถ้าเขาไม่พูดอะไรออกมา เขาจะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครจดจำและสนใจ และกลายเป็นwallflowerจริงๆ และที่มากไปกว่านั้นก็คือ เขาแอบชอบแซมแต่ไม่เคยบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะชาร์ลีเองรู้อยู่แล้วว่าแซมมีแฟน เขาจึงคิดที่อยากจะแอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ มากกว่าที่จะอยู่ใกล้ๆ และอยากเห็นเธอมีความสุขมากกว่า ในขณะที่แซมไม่มั่นใจว่าชาร์ลีคิดยังไง เพราะเขาไม่เคยสารภาพรักกับเธอ บวกกับทีเธอเองเคยถูกหลอกมา วันหนึ่งแซมจึงถามชาร์ลีว่า 'ทำไมคนที่ตัวเองรักถึงทำเราเหมือนไม่มีอะไรเลย' และชาร์ลีก็ต้องกลับแซมว่า 'เราแค่รับความรักที่เราสมควรได้รับไง' 




เป็นประโยคที่คนเขียนชอบมากที่สุด


สิ่งที่ชาร์ลีเรียนรู้อีกอย่างหลังจากมีเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสอง เขารู้ว่าทุกคนก็มีเบื้องหลังความเจ็บปวดเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เขากลับเจ็บปวดที่สุดเพราะความเจ็บปวดนั้นทำให้เขากลายเป็นเด็กเงียบ และไม่ร่าเริง ไม่มีเพื่อนคบ แต่การที่เขาได้เจอเพื่อนดีๆ อย่างแซมและแพทริก กลับทำให้เขากล้าที่จะต่อสู้กำแพงจความกลัวในจิตใจนี้อีกครั้ง



หนังสือและหนังเรื่องนี้ มีประโยคอีกหลายประโยคที่ทำให้เราหวนนึกถึงชีวิตวัยรุ่น และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป แนะนำเลยค่ะ
  
 'พวกเราแค่อยู่ตรงนั้นด้วยกัน แค่นั้นก็พอแล้ว'


 'พวกเราคือที่สุด'


ต่อไปเป็นฉากที่ชอบมากที่สุด 



ผมไม่รู้ว่าผมจะมีเวลาเขียนจดหมายอีกมั๊ย 
เพราะ ผมอาจจะยุ่งกับการเข้าหาเพื่อนมากขึ้น
ดังนั้น ถ้านี่จะกลายเป็นฉบับสุดท้าย 
ผมแค่อยากจะให้คุณรู้ว่าผมเคยอยู่ในที่ๆ แย่มาก่อน
ก่อนที่ผมจะเข้าม.ปลาย  และคุณได้ช่วยผมไว้
ถึงแม้คุณไม่เคยรู้ว่าผมเคยพูดเรื่องอะไรไว้ หรือ รู้จักใครที่
เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ คุณกลับทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
เพราะผมรู้ว่ามีใครอีกหลายคนที่พูดเรื่องราวเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ 
และผู้คนที่ลืมช่วงอายุตอน16ย่างเข้า17นั้นเป็นยังไง 
ผมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล่าสักวัน และรูปภาพจะกลายเป็น ภาพเก่าๆ 
พวกเราจะกลายเป็นพ่อแม่ของใครสักคน
แต่ ณ ช่วงเวลานี้ มันไม่ใช่เรื่องราว  มันกำลังเกิดขึ้น 
ผมอยู่ตรงนี้ และผมกำลังจ้องมองเธอ 
เธอดูสวยมากๆ ผมสัมผัสได้ 
ช่วงเวลาหนึ่งเดียวนี้ พอรู้ว่าตัวคุณไม่ใช่เรื่องราวอันแสนเศร้าอีกต่อไป 
คุณกำลังมีชีวิตชีวา 
คุณลุกขึ้นยืนและเห็นแสงไฟตามตึกสูงต่างๆ และทุกอย่างนั่นทำให้คุณรู้สึกฉงน
และตอนนี้คุณกำลังฟังเพลงบนรถที่แล่นกับคนที่คุณรักมากที่สุดในโลก

และ ณ วินาทีนี้ ผมมั่นใจว่า 
พวกเราคือ ที่สุด



ตบท้ายด้วยเพลงในอุโมงค์ที่แซมถามหา




พวกเราขอแค่เป็นฮีโร่แค่วันเดียว ก็พอ

J.M.

Melody of My Life

ผู้ติดตาม