Because You Live – J.M. (DeuxJ)
มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง สมัยก่อนเธอพูดกับตัวเองว่า
แม้ชีวิตทุกๆ วันนี้แย่ จะลำบาก หรือมีเรื่องที่ทำให้เธออารมณ์ไม่ดี
เธอแค่ภาวนาขอให้ตัวเองฝันดีทุกคืน ฝันถึงคนที่ใช่สำหรับเธอ
คนที่ทำให้เธอรักและพร้อมจะอยู่ชีวิตไปกับเขา
และเธอก็ได้ฝันถึงคนนั้นของเธอแบบนี้ทุกวัน เธอรู้สึกดีใจทุกครั้งก่อนนอน
เสมือนเธอมีคนรักในความฝันทุกๆ คืน ได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยเรื่องราวให้แก่กัน
เธอมีความสุขมากเมื่อฝันถึงเขา
ถ้าวันไหนที่ไม่ได้ฝันถึงวันถัดมาจากนั้นเธออาจะทุกข์ขึ้นมาก็ได้
เพราะฉะนั้นเธอทำได้แต่นึกถึงคนในฝัน คิดถึงคนในฝันให้ตลอด
จนกระทั่งเขามีตัวตนในชีวิตจริงๆ ของเธอ
นี่คงจะเป็นความสุขเล็กๆ ที่เธอไม่สามารถหาที่ไหนได้อีกแล้ว
กลายเป็นว่าชีวิตจริงเธอไม่คิดที่คบใคร
เพราะเธอมีสิ่งที่ต้องการแล้วแม้จะไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตน
ผ่านไปหลายปีเธอยังคงมีความสุข
แต่ก็พบกับความเป็นจริงที่ว่าเธออยากอยู่กับเขามากกว่าที่จะตื่นมาพบความจริง
เธอจึงหาวิธีทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตื่น
เธอจึงทำงานอย่างหนักเพื่อรวบรวมเงินที่ได้จากงานของเธอก้อนหนึ่ง สร้างบ้านส่วนตัวที่ไกลๆจากเมืองใหญ่
เธอจ้างคนมาดูแลบ้าน และปรึกษาคุณหมอที่ไว้ใจพร้อมดูแลเธอ
ในระหว่างที่เธอนอนหลับไปตลอดกาล
เธอได้จ้างสถาปนิกหนุ่มคนหนึ่ง เธอปรึกษาเรื่องแบบสร้างบ้านในหลายๆ
แบบที่เธออยากให้เหมือนในฝันที่ฝันไว้กับเขาคนนั้น และทุกๆ
วันที่เธอกลับจากที่ทำงาน เธอก็ไปหาหนุ่มสถาปนิกเพื่อติดตามงานทุกฝีก้าว
เพื่อให้บ้านของเธอออกมาอย่างไม่มีที่ติ ระหว่างพักการทำงาน
สถาปนิกหนุ่มเป็นประเภทชอบคุยเฮฮา จึงชวนเธอคุยเรื่องราวต่างๆ เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง
หญิงสาวก็เล่าเช่นกัน บางครั้งชายหนุ่มคนนั้น
ก็สงสัยว่าทำไมเธอถึงยอมทุ่มเทติดตามงานออกแบบมากขนาดนี้
เขารู้มาว่าเธอไม่มีใครเลย เธอยู่ตัวคนเดียว แต่เธอบอกว่าเธอมีคนรักแล้ว
แต่ไม่สามารถมาได้ หนุ่มสถาปนิกก็ไม่ได้สงสัยนึกว่าแฟนของเธอยุ่งอยู่ บางครั้งเขาก็เห็นเธอหลับระหว่างปรึกษางาน
เห็นเธอยิ้มตอนหลับในบางครั้ง บ้างก็เห็นน้ำตาเธอไหลรินบนแก้ม
จนเหตุการณ์ผ่านไปเริ่มแสดงให้เห็นชัดเจน เธอเผลอหลับเพราะเหนื่อยอีกครั้ง
ชายหนุ่มสถาปนิกจึงอุ้มเธอลงไปนอนบนโซฟา และ เธอเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง ฉันรักคุณที่สุดเลย พร้อมกับซุกศีรษะลงบนอกชายหนุ่ม แต่เขาก็อนุมานว่า
เธอคงคิดถึงแฟนที่จากไป ชายหนุ่มทำได้แต่คอยดูแลเธอยามหลับเท่านั้น
ทำได้แค่มองเธอยามหลับพริ้ม รอยยิ้มที่ถ้าเธอตื่นขึ้นมาอาจะไม่ได้เห็นอีก ในเช้าวันต่อมาของวันนั้น
หญิงสาวตื่นขึ้นมาก็พบว่าหนุ่มสถาปนิกนอนเฝ้าอยู่ข้างๆ โซฟา เธอไม่กล่าวอะไร พร้อมกับมองผ่านหน้าต่างทิวทัศน์ทะเลกว้างข้างนอก
เดือนสุดท้ายของการต่อเติมบ้าน หญิงสาวรู้สึกดีใจที่งานใกล้เสร็จ
วันนั้นเธอก็นอนอีกครั้ง พร้อมกับละเมอพูดว่า บ้านของเราเสร็จแล้วนะ หนุ่มสถาปนิกที่เผลอมาได้ยินเข้า เขารู้สึกไม่แน่ใจกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ เขาเคยคิดว่าแฟนของเธอยุ่งจนไม่มาหาเธอก็คงเป็นไปไม่ได้หรือว่าเขาเสียแล้ว...? แต่เมื่อนึกเรื่องราวย้อนกลับไป เธอไม่เคยพกรูปถ่าย
หรือแม้แต่เยี่ยมแฟนของเธอที่สุสาน
เมื่อบ้านงามที่เธอตั้งใจเฝ้างานเสร็จ เธอโทรหาแพทย์ประจำตัวของเธอพร้อมกับแม่บ้านคนที่จะดูแลเธอระหว่างอยู่กับชายในฝันของเธอ
และหลายอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่หนุ่มสถาปนิกวุ่นกับโปรเจคใหม่
เขาคิดถึงเธอจึงกลับมาดูบ้าน แม้จะหมดพันธะกันแล้ว แต่สำหรับเขามันยังคงดำเนินมาเรื่อยๆ และระหว่างที่เขาหายไปเขารู้ว่าไม่สามารถปิดกั้นตัวเองจากความรู้สึกที่แท้จริงได้
เขาจึงกลับไปบ้านนั้นอีกครั้ง ก็พบว่าหญิงสาวนอนหลับอยู่ เห็นรอยยิ้ม เห็นน้ำตา หน้าเศร้า หน้าดีใจทุกรูปแบบพึงที่เธอจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ เขารอจนเธอลืมตาตื่น แต่มันนานเกินไปที่เธอนอนอย่างนั้นติดต่อมาสองวันแล้ว
เขาจึงรู้ความจริงจากแม่บ้าน มันทำให้เขารู้สึกเสียใจมาก
ที่เขาไม่สามารถบอกความรู้สึกจริงๆ ของเขาออกมาให้เธอได้ยินได้อีก เขาขอร้องให้แพทย์ช่วยทำให้เธอฟื้น
และหยุดให้ยาเธอ คุณหมอไม่สามารถทำได้เพราะหญิงสาวทำสัญญากันแล้วเรียบร้อยว่าเธอจะหลับตลอดกาล
เขาเข้ามาเฝ้าเธอ ทุกๆ วัน สารภาพความในใจให้เธอฟังก่อนเวลานอนของเขาทุกครั้ง
บางครั้งเขาก็มาเยี่ยมตอนที่แพทย์ให้ยาเธอ เขาเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดในสายตา
ผ่านไปหนึ่งเดือนที่เขาไปเยี่ยมเธอ เล่าความในใจทุกๆ แก่เธอ ทำตัวราวกับเธอกำลังฟังเขาอยู่ทุกๆ นาที แพทย์ที่จ่ายยาให้เห็นดังนั้น
เขาจึงเริ่มลดยาน้อยลง เขาเองคงจะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้แต่เขาก็สงสารหญิงสาวเช่นกัน
เวลาที่คุณหมอนึกถึงความตั้งใจของเธอเมื่อยังมีชีวิตจากคำบอกเล่าของเธอเกี่ยวกับความสุขของเธอ
อย่างไรก็ตามเขาก็ยอมลดยานั้นแต่ไม่เลิกที่จะให้ ไม่กี่คืนต่อมา
ผลจากการให้ยาน้อยลง จากที่เธอหลับสนิท เธอเริ่มละเมอพูดเป็นเรื่องราวมากขึ้น
และหยุดไปเป็นพักๆ เธอพูดเหมือนกับพูดคุยกับเขาอยู่
แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอคุยกับชายในฝันของเขา
แต่เขาก็อยากที่จะตอบคำถามนั้นเหมือนกัน
เหตุการณ์ผ่านไป ดูเหมือนกจะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้หญิงสาวทำได้แค่คุยละเมอโดยที่ไม่รู้ตัวว่าหนุ่มที่อยู่ข้างเตียง คอยคุยเป็นเพื่อนอยู่ด้วย แม้จะหัวเราะก็หัวเราะทั้งน้ำตา
แม้จะยิ้มเธอก็ไม่เห็นรอยยิ้มของเขา
คืนแล้วคืนเล่า เขาใช้ชีวิตที่เหมือนเป็นคนดูแลราวกับสามีที่ดูแลภรรยาที่ป่วย
แม้ในความเป็นจริงแล้ว เธอได้พูดเอ่ยขึ้นมาว่าเธออยากแต่งงานกับเขาในฝัน
เขาก็ดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
มีบ้างที่ชายหนุ่มรู้สึกอิจฉาผู้ชายที่ไม่มีตัวตนคนนั้นจะแต่งงานกับเธอ
เขาจึงตอบกลับไป แต่วันนั้นเองเขาก็ซื้อแหวนมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายให้เธอ
มือของเขากุมมือของเธอตลอดเวลา และ หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาว่า ฉันรักคุณค่ะ
เขาก็ตอบกลับ เช่นเดียวกัน พร้อมกับประทับรีมฝีปากแผ่วเบาที่ปลายรีมฝีปากอมชมพูของหญิงสาวและเขาก็เฝ้านอนเธออยู่ข้างเตียงเหมือนที่เคยทำ และแอบหวังลึกๆ ว่าวิธีนี้อาจจะทำให้เธอฟื้นเหมือนในนิทานปรัมปรา พร้อมทั้งกุมมืออย่างที่เคยทำทุกวัน และวันรุ่งขึ้นเขารู้สึกตัวอีกว่าเขาอยู่บนเตียงมีศีรษะนอนทับบนแขนซ้ายของเขา
นั่นคือภรรยาของเขานั่นเอง เขาไม่เคยได้เห็นเธอใกล้ๆ ในมุมแบบนี้
แม้เธอจะหลับไม่รู้เรื่องยังไงเขาก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องเธอใกล้กว่าที่จะทำได้
แต่ข่าวร้ายในวันต่อมาแพทย์ที่ให้ยาเธอวินิจฉัยว่าเธอกำลังจะสิ้นใจ
ตอนแรกเขากล่าวหาหมอว่าเขาเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนี้ หมอได้อธิบายอย่างใจเย็น
เขาเก็บความลับชิ้นสุดท้ายของหญิงสาวไว้ว่าเธอเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย
เธอจึงเลือกวิธีนี้และต้องการจากไปอย่างมีความสุข นั่นจึงเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม่บ้านจึงช่วยมาปลอบสามีของหญิงสาวพร้อมกับร้องไห้เสียใจเช่นกัน ในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจเขาเลือกที่จะทำหน้าที่สามีครั้งสุดท้าย ทั้งลาออกจากงานและลาทุกคนที่เขารู้จัก
เขาทำสัญญากับหมอ โดยฉีดยาชนิดเดียวกับภรรยาของเขา และ ในที่สุด
ชายหนุ่มก็นอนข้างๆ หญิงสาวที่หลับพริ้ม เขามองเธอเป็นภาพสุดท้ายก่อนจะจากไปพบเธอในอีกโลกหนึ่ง ที่เรียกว่าความฝัน
ถึงจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิต แต่เชื่อมั๊ยว่า
บางทีคนเรามีอะไรย่ำแย่ในชีวิต ขอแค่ได้กลับมานอนหลับฝันดีก็พอ
บางครั้งเราไม่แน่ใจในใครคนหนึ่ง แต่เมื่อรู้ตัวตนของเขา ความรู้สึกของเราอาจจะเปลี่ยนไปด้วยก็ได้
J.M. : วันนี้ตื่นเช้ามาคิดอะไรบางอย่างจนความคิดเกะกะพวกนั้นหายไป จนพบจิ๊กซอชิ้นหนึ่ง และขณะนั้นฝนก็ตกหนักจนซาในที่สุด พร้อมกับฟัง Because You LiveของJesse Mccartney จนกลายเป็นเรื่องสั้นเรื่องนี้ แต่บางครั้งเราก็ตลกตัวเอง คิดอยากแต่งนิยายทุกทีไปไม่รอดทุกครั้ง กลายเป็นว่าเราชอบเขียนแบบนี้มากกว่า และไม่เคยได้แต่งอะไรจบภายในวันเดียว
เหมือนว่าวันนี้ จิตใต้สำนึกดิบๆ มันอยากถ่ายทอดเป็นคำพูด และมันก็ทำได้จริงๆ เพราะงั้นงานชิ้นๆ หนึ่งไม่ใช่แต่งเพราะเราออกแบบให้มันออกมาแบบที่เราคิดเป๊ะ แต่เป็นความรู้สึกของเรื่องที่จะแต่งด้วย นี่คือสิ่งที่ค้นพบระหว่างเขียนเรื่องนี้ มันอาจจะน้ำเน่าไปบ้าง และบอกได้เลยว่าแต่งจากความรู้สึกล้วนๆ
มันดูน้ำเน่าไปนิดเนอะ ถ้าให้เอาจริงๆ จะมีใครอยากมีความสุขแบบนี้บ้าง แต่ต้องบอกก่อน ถ้าเรารู้ตัวว่าฝันแล้วมีความสุขก็อย่าลืมว่ามันเป็นเพียงความฝัน ไม่ใช่ชีวิตจริง ถ้าเราสามารถแยกการใช้ชีวิตในความเป็นจริงกับความฝันได้ อาจจะพิลึกดีผิดธรรมชาติไปนิด แต่มันก็เป็นธรรมชาติของการจินตนาการนะ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ล่วงหน้านะคะ
Thanks for the comments in advance!