The Fifth Estate ฐานันดรที่ 5 และ หนังเกี่ยวกับ วิกิลีคส์
เราเคยติดตามข่าวเกี่ยวกับเว็บไซต์นี้ปีที่แล้ว
เห็นว่าเป็นเว็บที่ดึงเอกสารลับจากองค์กรทั่วโลกมาเปิดโปง พวกคอรัปชั่น ฆาตรกรรม
สงคราม โดยเฉพาะเอกสาร 5 แสนไฟล์ของ รัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับบันทึกสงครามในอิรัค
โดยพลทหารแบรดลีย์ แมนนิ่ง (ต้องเรียกว่าเธอ เพราะนางจะเปลี่ยนชื่อเป็นเชลซีหรืออะไรสักอย่าง)
โดยเธอคนนี้เนี่ยเอาข้อมูลส่งให้วิกิลีคส์ ซึ่งก็คือ นายจูเลี่ยน อัสซาจน์
ผู้ก่อตั้งวิกิลีคส์ จนกลายเป็นข่าวจารกรรมข้อมูลลับที่ใหญ่ที่สุดและดังที่สุดที่มีมาในโลกนี้
จนคนอ่านอย่างเราได้รู้ข่าวสารความเป็นไปของโลกไปด้วย เราเลยนับถือคนนี้เป็นคนที่เปิดวิสัยทัศน์อีกโลกหนึ่งให้เรารู้ว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราถูกจำกัดให้รับรู้จากการเสพย์ข่าวจากสำนักข่าวหรือจากการแถลงการณ์ขององค์กรนั้นเองจึงเกิดฐานันดรใหม่ขึ้นมา
นั่นก็คือ ฐานันดรที่ 5 (Fifth Estate)
ฐานันดรที่ 5 หรือ Fifth Estate จะเรียกว่ามันเป็น
“ชนชั้น” หรือ “สถานะ” ก็ดี แต่ไม่น่าใช่ชนชั้น เราจึงค้นหาข้อมูลนิยามของคำนี้
อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย และ poynter.org สรุปได้ว่า ก่อนจะมีฐานันดรที่ 5 จะมี
ฐานันดรที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับก่อนซึ่งแต่ละฐานั้นดรจะพูดถึงยุคสมัยของคนสถานะใดที่มีผลกระทบต่อสังคมอยู่จนถึงปัจุบัน ฐานันดรที่ 1 หมายถึง พระ สังฆราช นักบุญต่างๆ
ที่เกิดในยุคแรกๆ ของประวัติศาสตร์ จะมีบทบาทในการตัดสินความดี ความชั่วเป็นหลัก
ฐานันดรที่ 2 คือ ชนชั้นสูง กษัตรย์ ราชวงศ์ ผู้ปกครอง
เป็นยุคแห่งการครอบครองและมีศักดิ์ มีชนชั้น จึงนำไปสู่ ฐานันดรที่ 3 คือ
ชนชั้นกลางหรือผู้ประกอบอาชีพค้าขาย ทหาร พยาบาล ทนายและอื่นๆ
ซึ่งเป็นยุคที่เห็นชัดที่สุดในเรื่องการทำมาหากิน ในเมื่อ 3 ฐานันดรแรกก็ปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้
เราก็คิดว่าองค์ประกอบสังคมก็น่าใกล้จะครบแล้วนะ ขาดอะไรไปเหรอ นั่นก็คือ สื่อสิ่งพิมพ์ สำนักข่าวทั้งหลาย
รวมทั้งรายการโทรทัศน์ วิทยุ ทุกช่องทาง
แหล่งข้อมูลข่าวสารที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั้งหลายนั่นเองคือฐานันดรที่ 4
เป็นยุคของสื่ออย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเมื่อสื่อมีการนำเสนอข้อมูลเฉพาะด้าน เปิดเผยไม่ครบ
และจำกัดการรับรู้แก่คนอ่านทั่วไป ทำให้เกิดฐานันดรที่ 5 ขึ้นมาซึ่งเป็นยุคของ
นักเขียนข่าวอิสระ บล็อกเกอร์ ตัวแทนสื่อ และ วิสเซิลโบลเวอร์ (คำนี้แปลว่า
คนที่เห็นด้านมืดของผู้กระทำและต่อต้านการกระทำอย่างเปิดเผย นิยามโดยความเข้าใจของเรา)
อย่าง วิกิลีคส์ และ นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน
คนที่เปิดโปงความลับของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ และนี่คือที่มานิยามและความเข้าใจง่ายๆ
ของชื่อหนังที่เราได้ดู
เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน
แบรดลี่ย์ แมนนิ่ง จูเลี่ยน อัสซาจน์เรียกร้องให้แมนนิ่งเป็นอิสระ
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ฐานันดรที่ 4 กับ 5 ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่มากในเมื่อมันก็เป็นสื่อด้วยกันทั้งคู่
แต่ก็มีการจำแนกแยกแยะโดย Jan Leach ผู้เขียน ความแตกต่างของฐานันดรที่
4 และ 5 สรุปตามความเข้าใจของเราอีกเช่นกัน
คือ ฐานันดรที่ 4 จะเป็นสำนักข่าวที่เสนอข่าวตามแบบแผนโดยเสนอข่าวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสารของตนและผู้อ่านส่วนใหญ่จะรับรู้ข่าวสารจากสำนักข่าวหลักๆ
หรือพูดง่ายๆ ผู้รับสารสามารถเข้าถึงแหล่งข่าวเหล่านี้ได้มากกว่า ข้อเสียคือบางครั้งเราไม่รู้ว่าสารที่เรารับเรารับครบหรือไม่
ยังมีการ ”แก้ไข”และ ”บิดเบือน” มากแค่ไหนกว่าจะถึงมือเราแถมยังมีไบแอสหรือมีความลำเอียงของผู้สื่อข่าวโดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่เราเห็นกันทุกวัน
บางครั้งอาจจะมองได้ว่าเราเป็นคนจำกัดสื่อหรือสื่อเป็นคนจำกัดการรับรู้ของเรากันแน่
จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราควรตระหนักในการรับข่าวสารเช่นกัน ส่งผลฐานันดรที่ 5
แตกต่างจากฐานันดรที่ 4 ตรงที่ ผู้เขียนข่าว ผู้เผยแพร่ข่าว หรือ ตัวแทนสื่อ
มักจะเป็นคนที่เราไม่รู้จัก ไม่มีชื่อ แต่เป็นคนคอยเขียนสิ่งที่สื่อจากฐานันดรที่
4 ไม่ได้พูดถึงเอาไว้ในสาร แม้กระทั่งวิจารณ์การกระทำของบุคคลระดับสูงต่อสาธารณะด้วยเช่นกัน ดังเช่น ตัวแทนสื่อและวิสเซิลโบลเวอร์อย่าง
วิกิลีคส์ที่มีคอนเซปท์ว่า ต้องการเผยแพร่ข้อมูลดิบ นั้นหมายความว่า ไม่มีการ
“แก้ไข” เพื่อโอนเอนไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น ฐานันดรที่ 5
เป็นฐานันดรที่เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีข้อมูลจากฐานันดรที่ 4 ก่อนเพื่อต่อยอดหรือวิจารณ์หรือค้นหาความจริงจากอีกด้านหนึ่งต่อผู้รับข่าวสารได้
แถมเป็นฐานันดรที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงขององค์ระดับชาติรวมถึงผู้ปกครองเผด็จการอีกด้วย
จึงไม่แปลกว่าทำไมนายอัสซาจน์กำลังกลบดานที่สถานฑูตเอกกวาดอร์ประจำลอนดอนและนายสโนว์เดนกำลังกลบดานในประเทศรัสเซียขณะนี้
เบเนดิก คัมเบอร์แบทช์ จูเลี่ยน อัสซาจน์
แดเนียล บรูห์
แดเนียล ชมิท-เบิร์ก
พูดถึงวิกิลีคส์ในหนัง The Fifth Estate
ต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้สร้างจากหนังสือ Inside WikiLeaks: My Time with
Julian Assange at the World's Most Dangerous Website ของนายแดเนียล
ชมิท-เบิร์กและ WikiLeaks: Inside Julian Assange's
War on Secrecy เขียนโดยนายเดวิด เลย์ และนายลุค ฮาร์ดดิ้ง นักเขียนข่าวชาวอังกฤษ 2
คน ที่อัสซาจน์อ้างว่า ”เป็นหนังสือสองเล่มที่ลวงโลก” ที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือหนังสร้างตามมุมมองของคนสร้าง
คนเล่าเรื่องนี้คือคนที่อยู่ใกล้ชิดนายอัสซาจน์ขณะที่เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์แหล่งเอกสารลับของโลกที่ใหญ่ที่สุด
ใครที่ดูแล้วอาจจะมองว่าตกลงเว็บวิกิลีคส์เนี่ย อันตราย หรือ ไม่ดี หรือ เป็นเว็บทำร้ายความมั่นคงของชาติ
ของบริษัทอะไรก็แล้วแต่ แต่วิกิลีคส์ก็ยังยึดมั่นความคิดเหมือนเดิมที่เปิดเผยข้อมูลออกไป
เมื่อตัวหนังพยายามสร้างให้ลำเอียงและรักษาภาพพจน์ของประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งอย่างมากถ้าเราเห็นชื่อผู้ผลิตหนังก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยใดๆ
และนายชมิท-เบิร์กตอนหลังในเรื่องไม่ลงรอยกับนายอัสซาจน์
ตอนท้ายหนังจึงมีการแฉเรื่องส่วนตัวของนายอัสซาจน์ บอกเป็นนัยว่า
นายอัสซาจน์ก็หลอกลวง
The movie
The reality
เนื้อเรื่องหลักๆ ในหนังนำเสนอเรื่องความเป็นมาของเว็บวิกิลีคส์และการก่อตั้งเว็บโดยแฮคเกอร์สองคนนี้
แต่คนที่มีอุดมการณ์แข็งแกร่งที่สุดดูจะเป็น นายอัสซาจน์ เจ้าของผมขาวทั้งหัวเอง
เขาตั้งเป้าอยากให้คนทั่วโลกรับรู้ข่าวที่เขาไม่เคยรู้ได้ตาสว่าง ตอนแรกนายชมิท-เบิร์กก็มีอุดมการณ์แบบนั้น
การทำงานร่วมกันภายใต้ความคิดปฏิวัติวงการสื่อนั้นอาศัยความกล้าและความหนักแน่นและยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างสุดๆ
เราเลยรู้สึกว่าตอนแรกหนังนำเสนอว่าความคิดของสองคนนี้มีเหตุมีผลมากเพียงใด
เหตุจูงใจที่ทำให้พวกเขาต้องทุ่มเทบินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อเพียงให้คนทั้งโลกรับรู้ความจริง
ก่อนหน้านั้นก็เปิดโปงข้อมูลฉ้อโกงภายในธนาคารสวิซฯ
ธนาคารที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยระดับโลก และการจราจลในเคนย่า
จนถึงจุดพีคของเรื่องคือการเปิดโปงข้อมูลลับสุดยอดของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
เอาล่ะสิ อัสซาจน์ไม่รู้ว่าตนกำลังเล่นกับใคร เมื่อเป็นเช่นนี้ ชมิท-เบิร์กเห็นว่าเสี่ยงเกินไปที่จะต่อกรณ์กับประเทศมหาอำนาจนี้จึงคิดว่าไม่ควรเผยแพร่ข้อมูลนี้จึงขอเสนอให้มีการแก้ไขเอกสานโดยเซ็นเซอร์รายชื่อบุคคลในไฟล์เอกสารทั้งหมดไม่งั้นเจ้าหน้าที่ทหารและครอบครัวของพวกเขาอาจได้รับผลกระทบจนเกิดจราจลได้
ส่วนอัสซาจน์ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเบิร์กเพราะเขายังคงยึดมั่นความคิดที่ว่าต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดไม่ขาดไม่เกิดไม่มีการแก้ไขใดๆ
ทั้งสิ้นและไม่ยอมให้คนที่ตายในสงครามการจราจลเสียเปล่า สุดท้ายอัสซาจน์ก็ยอมให้เบิร์กเซ็นเซอร์ชื่อทั้งหมดนั้น
แต่เบิร์กลืมไปว่ามันมี 91,000 ไฟล์และต้องโพสต์ไฟล์เหล่านั้นในเว็บไซต์ภายใน 4
วัน อัสซาจน์รู้ว่าเขาทำไม่ได้แน่นอนและยังยึดมั่นในความคิดของตนเช่นเดิมว่าต้องน้ำเสนอข้อมูลอย่าง
“โปร่งใส” ในขณะที่เบิร์กต้องการปกป้องรายชื่อและแหล่งข่าว(แมนนิ่ง)
เหตุนี้อุดมการณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรกกันของทั้งสองกลับสวนทางกันในที่สุด
นอกจากจะนำเสนอเรื่องการทำงานและยังคอยบรรยายให้เห็นนายอัสซาจน์ในมุมมองของเพื่อนร่วมงาน
เราจะสังเกตว่า นายอัสซาจน์จะเป็นคนขี้ระแวงและเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอกับข้อเสนอจากเพื่อนร่วมงาน
แม้กระทั่งไม่ค่อยไว้ใจพวกเขาถึงกับหลอกพวกเขาเหมือนกันเนื่องจากประสบการณ์ในอดีตที่เคยถูกเพื่อนหักหลังจึงกลายเป็นอย่างที่เห็น
เจ้าของหนังสือยังบอกว่า “เขาเป็นบ้า”
“สิ่งที่เขาทำมันเสี่ยงเกินไป” เราจึงมองว่าคนเขียนคนนี้พยายามสร้างภาพอัสซาจน์ค่อนไปทางด้านลบ
ทั้งเรื่องสีผมที่ไม่น่าเอามากล่าวหาอะไรได้มากนักเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องเพื่อนร่วมงานอาสาสมัครที่ไร้ตัวตนซึ่งเราจะไม่เอามายึดเป็นหลักตัดสินคนได้
ฉากหนึ่งในเรื่องเมื่อเขาได้รับเชิญไปทานอาหารร่วมกับพ่อแม่ของเบิร์ก แต่กลับพูดเหน็บพวกเขาที่พวกเขาเอาหนังสือพิมพ์ระดับประเทศว่าเป็น
“อนาธิปไตย” หมายความว่าอัสซาจน์ที่อยู่ในกลุ่มฐานันดรที่ 5 ต่อต้าน หนังสือพิมพ์นั้นคือตัวแทนฐานันดรที่
4 ชัดเจน เมื่อเราดูเรื่องนี้ถึงตอนจบ
บทสรุปของหนังสรุปชัดเจนว่า นายอัสซาจน์เป็นภัยร้ายของทั้งประเทศและคนใกล้ตัวมากขนาดไหนโดยในหนังแสดงให้เห็นว่า
นายชมิท-เบิร์กหลังจากถูกอัสซาจน์ ”ไล่ออก” เขาจึงทำการลบข้อมูลลับสุดยอดของสหรัฐฯที่อัสซาจน์ได้มากจากแมนนิ่ง
จึงทำให้เขากลายเป็น ฮีโร่กลับตัวกลับใจหรืออะไรก็แล้วแต่ไปในทันที และอัสซาจน์ดูเป็นอาชญกรละเมิดข้อมูลส่วนตัวในที่สุด
ออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เว็บวิกิลีคส์ก็ไม่ได้ถูกปิดแต่อย่างใด
กลับยังล้วง คว้าน และเผยแพร่ข้อมูลลับต่างๆ ในโลกออกมาเสมอจนถึงวันนี้รวมทั้งข้อมูลที่ถูกลบไปโดยเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งมันผิดแผกกับในหนังที่ไม่ได้สรุปอย่างนั้น กลับสรุปถึงข่าวฉาวและการหลบเลี่ยงCIAของอัสซาจน์
กลายเป็นคนถูกทางการสหรัฐฯหมายหัวและให้คำจำกัดความว่าเป็น “กบฏ” ทั้งๆ
ที่เขาไม่ใช่คนอเมริกันสักนิด ถ้ามองถึงอุดมการ์ของอัสซาจน์
เขาจึงกลายเป็นคนที่ไม่ได้มีเจตนาจะเป็น “ปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ”
ในมุมมองของฝ่ายตรงข้ามแต่ก็เป็นไปเสียแล้ว หากในความเป็นจริงอีกฟากหนึ่งของโลก
มีเสียงอีกจำนวนมากที่ยังสนับสนุนการกระทำของเขา ไม่ได้มีแต่หนังสือของนายแดเนียล
ชมิท-เบิร์กที่ออกมาเปิดโปงอัสซาจน์ ยังมีเล่มอื่นๆ ที่เขียนถึงด้านบวกของเขาเช่นกัน
แต่หนังกลับไม่เอามาทำ
เราจึงเหมารวมว่าเรื่องนี้เน้นทำลายอัสซาจน์มากกว่าจะนำเสนอเว็บวิกิลีคส์จริงจัง
ยังมีรายละเอียดที่สำคัญของเรื่องที่หนังไม่ได้เน้นนำเสนอกลับปล่อยผ่านและเน้นถึงความร้ายกาจของอัสซาจน์มากกว่าและรายละเอียดนั้นก็คือ
ความแข็งแกร่งในการยึดมั่นอุดมการณ์ของนายอัสซาจน์
อย่างที่กล่าวไปนั้นเขาศรัทธาในอุดมการณ์มากขนาดไหนและมีอิทธิพลต่อโลกอย่างไร ในหนังคุณจะเห็นจุดนี้ของเขาพร้อมทั้งรักษาความน่าเชื่อถือแก่ผู้ให้ข้อมูลอีกเช่นกัน
พูดถึงตรงนี้เลยนึกถึงฉากหนึ่งในเรื่องเมื่อแมนนิ่งผู้ปล่อยข้อมูลลับระดับโลกตกเป็นข่าวบนหน้าเว็บไซต์
อัสซาจน์จึงบอกเพื่อนร่วมทีมให้จ้างทนายคุ้มครองแมนนิ่ง จุดนี้หนังกลับเล่าแบบผ่านไปไม่ได้เน้นแต่อย่างใด
กลับไปเน้นตอนที่ อัสซาจน์ กับ เบิร์กถกเรื่องการเปิดเผยข้อมูลในรถไฟใต้ดินที่เบลเยี่ยม
และเบิร์กตอบโต้อุดมการณ์ของอัสซาจน์ว่า “ฉันนึกว่าเราต้องการปกป้องแหล่งข้อมูลของเรามากกว่า”
น่าสงสัยว่าทั้งเรื่องก็เน้นย้ำโต้งๆ อยู่แล้วว่าอัสซาจน์เน้นการเปิดเผยแบบดิบมากแค่ไหน
แต่ใยเบิร์กถึงโต้อัสซาจน์แบบนั้น
เราอาจจะสงสัยว่าข้อมูลวิกิลีคส์นั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
ช่วงต้นของหนังจะเห็นว่าช่วงหนึ่งเว็บไซต์ถูกแบนเพราะให้ข้อมูลเท็จ เป็นอันตราย (นึกถึงเวลาไอซีทีแบนเว็บ)
หรืออะไรก็ตามสืบเนื่องจากข่าวคอรัปชั่นของธนาคารสวิซฯ
สักพักเว็บไวต์กลับมาออนไลน์ได้อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่นำเสนอในเว็บล้วนตรวจสอบและเชื่อถือได้มากที่สุดเพราะข้อมูลที่เปิดเผยล้วนเป็นข้อมูลดิบที่เผยรายชื่อผู้กระทำ
ผู้สวมรู้ร่วมคิดในเอกสารทั้งหมดและนำไปใช้เป็นหลักฐานได้จากผู้ที่อาสาปล่อยข่าวที่ไม่ต้องการบอกชื่อ
เว็บวิกิลีคส์จึงเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญเว็บหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักโลกอีกด้านหนึ่งที่ถูกปิดมานานและไม่ได้อยู่ในกะลาอีกต่อไป
และยังมีนโยบายในการปกป้องแหล่งข่าว พูดได้ว่าเป็นทั้งกระบอกเสียงและหน้ากากป้องกันของแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์เอ่ยนามเพื่อแบ่งปันข้อมูลแก่เว็บไซต์โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ
ผลงานที่เรารู้จัก กำกับโดย บิลล์ คอนดอน
ฉากตอนแดเนียลทำงานไป ฟังเพลงอิเลคโทรไป รู้สึกถึงบรรยากาศได้
มามองในมุมมองคนดูหนังที่มีต่อการดำเนินเรื่องและการถ่ายทำของหนัง
The Fifth Estate กำกับโดยบิลล์ คอนดอน เจ้าของหนังที่ผ่านมาได้แก่
Dream Girls, Twilight: Breaking Dawn part 1 and 2 เราชอบฝีมือการกำกับของคนนี้ตรงที่เขาจะเน้นการใช้เสียงเพลงได้ดีต่อให้หนังเรื่องนั้นไม่ใช่หนังเพลงก็ตาม
ในหนังเราจะเห็นและได้ยินเสียงเพลงแนวเทคโนอิเลคโทรซึ่งเหมาะกับบรรยากาศนักโปรแกรและนักแฮคเกอร์อย่างตัวเอกของเรื่อง
สื่อถึงยุคสมัยใหม่ของอินเทอร์เน็ตและวิวัฒนาการเทคโลยีอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะความคิดที่ก้าวหน้าของนักปฏิวัติของเรื่อง นอกจากเสียงเพลง
เราขอชื่นชมการเปรียบเทียบนามธรรมเป็นรูปธรรมของเรื่อง เรามองว่าเป็นนี่คือจุดเด่นของเรื่องนี้
คอนดอนคงต้องการให้คนดูเข้าใจและเห็นภาพการทำงานของวิกิลีคส์ว่าทำงานกันอย่างไรโดยการจำลองห้องทำงานขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตาของวิกิลีคส์ว่ามีใครทำงานบ้าง
รูปแบบลักษณะข้อมูลจากไฟล์ให้เป็นเอกสารกระดาษจัดเก็บอย่างไร ยังไม่พอการดำเนินการตัดต่อนั้นไม่ขาดช่วงเป็นเรื่องเป็นราวดูแล้วเข้าใจ
แต่สิ่งที่น่าติอยู่อย่างเดียวดั่งที่กล่าวไว้คือเรื่องการเน้นมุมมองว่าอัสซาจน์ในภาพพจน์ทางลบและไม่ชูส่วนดีของเขากลับเล่าแบบผ่านแล้วผ่านเลย
น่าจะเป็นที่มาว่าทำไมคนที่เห็นด้วยกับการกระทำของอัสซาจน์จะไม่ค่อยปลื้มหนังเรื่องนี้มากนัก
ยิ่งเห็นคะแนนในIMDB ปัญหาจึงไม่ได้เป็นที่เนื้อเรื่องหรือการถ่ายทำ
น่าจะเป็นการเน้นนำเสนออย่างไม่เท่าเทียมและลำเอียงไปทางมุมมองคนเขียนหนังสืออย่างเบิร์กนั่นเอง
ที่ขาดไม่ได้เลยนักแสดงของเรื่อง โดยเฉพาะAntagonistโดยไม่เป็นใจอย่างนายอัสซาจน์
นำแสดงโดย เบเนดิก คัมเบอร์แบทช์ นักแสดงชาวอังกฤษที่ดัง(มากๆและคนเขียนก็ชอบมากๆ)
จากบทเชอร์ล็อคในซีรี่ส์อังกฤษชื่อเดียวกัน บทคาน จากเรื่อง สตาร์ เทรค อินทู เดอะ
ดาร์คเนส และ มังกรสมอค จากเดอะฮอบบิทภาค 2 นับว่าปีที่แล้วเป็นปีที่เราได้เห็นเขาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มตลอดปีเลยทีเดียว บทอัสซาจน์เป็นบทที่ท้าทายสำหรับคัมเบอร์แบทช์เช่นกัน
เมื่อเขาต้องการจะศึกษาคาแรกเตอร์ของ จูเลี่ยน อัสซาจน์
เขาได้พยายามติดต่อเจ้าของเว็บวิกิลีคส์ให้ได้แต่ไม่ง่ายนักที่จะติดต่อผู้ที่กลบดานCIAอยู่ โชคช่วยเมื่อนายอัสซาจน์ตัวจริงตอบจดหมายคัมเบอร์แบทช์ด้วยการเตือนแบบหวังดีว่า
“เขานั้นเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ แต่คุณไม่ควรตกเป็นเครื่องมือให้คนสร้างหนัง” “หนังเรื่องนี้ไม่มีความจริงใดๆ
เลย” จูเลี่ยนถึงกล่าวกับคัมเบอร์แบทช์ว่า เขาจะถูกใช้เป็น “ปืนรับจ้าง”
อย่างไม่ได้ตั้งใจ
เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราได้เห็นอัสซาจน์ตัวจริงต่อต้านระบบสื่อในฐานันดรที่ 4
อย่างไร ถ้าอยากรู้ข่าวเพิ่มเติม สามารถเสิร์ชในยูทูปหรือกูเกิ้ลได้ว่า Assange
VS Fifth Estate นับว่าทำให้คัมเบอร์แบทช์เป็นที่รู้จักในวงการไซเบอร์และวิสเซิลโบลเวอร์กว้างขึ้น
ไม่ใช่แค่อัสซาจน์เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับบทภาพยนตร์
ถึงขั้นต้องเขียนแถลงการณ์ในเว็บกระบอกเสียงของเขา บทภาพยนตร์ที่ทางวิกิลีคส์แถลง ข่าวจากอีกแหล่งก็ได้บอกว่า
นักแสดงตัวเอกของเรื่องก็มีปัญหากับบทอัสซาจน์เช่นกัน
ต่อให้เขาพูดด้านดีของหนังก็ตามเพราะเป็นอาชีพของเขา เราในฐานะคนดูขอชื่นชมนักแสดงคนนี้ที่เขาพยายามติดต่อเจ้าของเว็บเพื่อสร้างหนัง
และอีกอย่างที่รู้สึกทึ่งคือ ทักษะการแสดงที่เราไม่ได้ติดภาพจากบทเชอร์ล็อค หรือ
คานเลย พูดง่ายๆ เราดูหนังไปไม่ได้คิดเลยว่าเนี่ยเบเนดิกแสดงอยู่ (555+) และที่น่าทึ่งคือ
การพูดภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลีย (นายอัสซาจน์เป็นชาวออสเตรเลีย) ถ้าเราเคยฟังหนังฝั่งเกาะอังกฤษกับฝั่งอเมริกาเราจะเห็นความแตกต่างชัดเจน
แต่เมื่อเราฟังสำเนียงอังกฤษกับออสเตรเลียอาจจะแยกยาก
แต่เมื่อดูเรื่องนี้เลยเห็นความแตกต่างของ 2 สำเนียงชัดเจนโดยสำเนียงออสเตรเลียเหมือนจะเสียงสูงมากกว่าสำเนียงอังกฤษดูเหมือนอยู่ในควานทรี่มากกว่าสำเนียงแบบอังกฤษ
เบเนดิก คัมเบอร์แบทช์ รับบทเป็น เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ในซีรี่ส์เชอร์ล็อก
เบเนดิก คัมเบอร์แบทช์ รับบทเป็น คาน/จอห์น แฮริสสัน ในหนังฟอร์มยักษ์ภาคต่อของ Star Trek
โดยรวมของหนัง
เรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับวิกิลีคส์ แต่ไม่ได้พูดถึงวิกิลีคส์อย่างที่โปรโมทไว้
จะเน้นการร่วมกันทำงานของอัสซาจน์กับเพื่อนร่วมทีมอย่าง เบิร์กและคนอื่นๆ มากกว่า
อันนำไปสู้บทสรุปที่ไม่สวยงามเสียเท่าไร เพราะฉะนั้นหนัง The Fifth Estate เรื่องนี้เหมาะกับผู้ที่อยากรู้การทำงานของวิกิลีคส์หรือเบื้องหลัง
“อีกมุม” เล่าโดยมุมมองคนร่วมงาน
และแนะนำอย่างยิ่งว่าควรศึกษาข่าวเกี่ยวกับวิกิลีคส์และนายจูเลี่ยน อัสซาจน์ก่อนที่จะรับชมเรื่องนี้จะได้ไม่เสียอรรถรสและติดตามและเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น
ถ้าเราจะให้คะแนนเต็มสิบ เราจะเทคะแนนให้กับผู้กำกับ 8.2/10
อย่างที่กล่าวเหตุผลไว้ข้างต้น นักแสดง 8.5/10 เนื่องจากเราไปดูการพูดของนายอัสซาจน์ตัวจริง
ไม่ได้เป็นอย่างในเรื่อง แต่ก็นะ หนังควรเน้นอารมณ์มากกว่า
น้ำเสียงการพูดของนักแสดงจึงถูกสร้างให้น่าดึงดูดและมีอารมณ์ร่วมด้วยตามแบบฉบับของหนัง
และเนื้อเรื่อง 6.5/10 อย่างไม่ต้องสงสัย ที่น่าเสียดายที่สุดคือถ้าผู้กำกับและคนเขียนบทจะเน้นความสำคัญของตัวละครอย่างเท่าเทียมกันโดนไม่โอนเอนไปฝั่งมุมมองคนเขียนหนังสือ
หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังวิกิลีคส์ที่ไม่ใช่แอนตี้วิกิลีคส์อย่างที่ว่ากันในโลกออนไลน์
แต่อย่างไรก็ดี ทีมผู้สร้างก็ต้องคำนึงถึงสัญชาติของค่ายหนังและเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงของเจ้าของประเทศอยู่ดี
ไม่เช่นนั้น The Fifth Estate จะกลายเป็นหนังแอนตี้สหรัฐฯ แทนได้
J.M.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
references:
en.wikipedia.org/wiki/Fifth_Estate
en.wikipedia.org/wiki/Estates_of_the_Realm
en.wikipedia.org/wiki/The_Fifth_Estate_(film)
wikileaks.org
wikileaks.org/The-Fifth-Estate.html
www.poynter.org/latest-news/top-stories/98781/balloon-boy-story-reveals-differences-between-fourth-and-fifth-estates
www.newstalk.ie/Benedict-Cumberbatch-defends-his-role-in-The-Fifth-Estate
www.newstalk.ie/Julian-Assange-vs-The-Fifth-Estate-
en.wikipedia.org/wiki/Estates_of_the_Realm
www.youtube.com/watch?v=5yB3n9fu-rM
en.wikipedia.org/wiki/Daniel_Domscheit-Berg
imdb.com
rjmorwood.wordpress.com
Images: Google.com